fbpx

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

ชื่อเต็ม :: เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้
วันเกิด :: 11 มกราคม ค.ศ.1987 (อายุ 36 ปี)
สถานที่เกิด :: เมือง เชฟฟิลด์ ประเทศ อังกฤษ
ส่วนสูง :: 1.79 เมตร (5 ฟุต 10 นิ้ว)
สัญชาติ :: อังกฤษ
ตำแหน่ง :: กองหน้า                                                                                                                                                              สโมสรปัจจุบัน ::  เลสเตอร์ ซิตี้

เจมี่ วาร์ดี้(Jamie Vardy)

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

Jamie Richard Vardy หรือที่รู้จักกันในชื่อ Jamie Vardy เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษที่เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2530 ปัจจุบันเขาเล่นให้กับสโมสรพรีเมียร์ลีก, เลสเตอร์ซิตี้ และทีมชาติอังกฤษ เขามาจากเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ

จุดเริ่มต้นการค้าแข้งของเจมี่ วาร์ดี้

เริ่มต้นเส้นทางสายลูกหนังกับ สต๊อคบริดจ์-พาร์ค สตีลล์ สโมสรนอกลีก หลังจากที่โดน เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ ปล่อยออกจากสโมสรด้วยวัย 16 ปี โดยกองหน้ารายนี้ได้รับโอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่ เมื่อปี 2007 ภายใต้การคุมทีมของ แกรี่ มาร์โรว์ ซึ่งตอนนั้น วาร์ดี้ รับค่าเหนื่อยอยู่ที่ 30 ปอนด์ต่อสัปดาห์เท่านั้น

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

ชีวิตช่วงแรกของวาร์ดี้

วาร์ดี้ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลแรกกับทีมชุดใหญ่ จนตกเป็นเป้าหมายของสโมสรในลีกมากมาย และในปี 2009 เจ้าตัวมีโอกาสทดสอบฝีเท้ากับ ครูว์ อเล็กซานดร้า อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้รับการเซ็นสัญญา แถมยังปฏิเสธการเซ็นสัญญาระยะสั้นกับ ร็อตเตอร์แฮม จนกระทั่งเดือนมิถุนายนปี 2010 นีล แอสปิน ผู้จัดการทีม ฮาลิแฟกซ์ ทาวน์ ซึ่งชื่นชมฝีเท้า วาร์ดี้ มาเป็นเวลานาน จัดการเซ็นสัญญากองหน้ารายนี้ไปร่วมทีมด้วยค่าตัวเพียง 15,000 ปอนด์เท่านั้น

ซึ่งหัวหอกรายนี้ก็ทำผลงานในฤดูกาลแรกกับทีมใหม่ได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการเป็นดาวซัลโวของทีมจากการกระหน่ำไปทั้งสิ้นถึง 26 ประตู เป็นผลให้ได้รับคะแนนโหวตจากเพื่อนร่วมลีกให้เป็นนักเตะ Player’s Player Of the Season มากกว่านั้น ผลงานของ วาร์ดี้ ยังช่วยให้ต้นสังกัดเลื่อนชั้นสู่ นอร์เทิร์น พรีเมียร์ลีก พรีเมียร์ ดิวิชั่น อีกด้วย วาร์ดี้ ก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากที่ยิงไป 3 ประตูจาก 4 เกมแรกของฤดูกาล 2011-2012

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

วาร์ดี้ย้ายไปฟลีตวู้ด ทาวน์

ดาวยิงหนุ่มโรงงานถูกดึงไปเล่นให้กับ ฟลีตวู้ด ทาวน์ สโมสรในคอนเฟอเรนซ์ พรีเมียร์ ก่อนจะทำผลงานได้อย่างสุดยอดหวดไป 34 ประตู จากการลงเล่น 42 เกม ซึ่งจากผลงานตรงนี้เองที่ไปเตะตาทีมงานแมวมองของ เลสเตอร์ ซิตี้ (Leicester City)

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

วาร์ดี้ย้ายไปแจ้งเกิดที่เลสเตอร์

จากผลงานตรงนี้เองที่ไปเตะตาทีมงานแมวมองของ เลสเตอร์ ซิตี้ (Leicester City) ก่อนจะได้ร่วมงานกันด้วยค่าตัวสถิติลีก 1 ล้านปอนด์ โดยปีแรกในสีเสื้อ จิ้งจอกสยาม ดาวยิงรายนี้ทำผลงานได้ไม่ดีนักยิงได้เพียง 5 ประตูจากการลงสนาม 29 นัด แต่ตัวเลขดังกล่าวก็พัฒนาขึ้นในฤดูกาลต่อมา โดยยิงไป 16 ประตูจาก 41 เกม และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ หวนคืนสู่เวทีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

ทีมของ ไนเจล เพียร์สัน ประสบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นอย่างหนักกับฤดูกาลแรกในลีกสูงสุด เช่นเดียวกับตัวของ วาร์ดี้ ที่ยิงได้เพียง 5 ประตูจาก 34 นัด กระนั้นก็ยังเรื่องราวที่น่าประทับใจ ในวันที่ช่วยพลพรรค จิ้งจอกสยาม เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 5-3 ทั้งที่เป็นฝ่ายตามหลัง 1-3 ฤดูกาลต่อมา เลสเตอร์ ซิตี้ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อ ไนเจล เพียร์สัน อำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมและถูกแทนที่ด้วยกุนซือมากประสบการณ์อย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ ซึ่งหลายคนมองว่าความล้มเหลวครั้งล่าสุดที่เทรนเนอร์ชาวอิตาเลียนมีต่อทีมชาติกรีซ อาจทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ มีฤดูกาลที่ไม่น่าจดจำอีกครั้ง

เจมี่ วาร์ดี้ ทำเอานักวิจารณ์และแฟนบอลต้องตกตะลึง ด้วยการสร้างผลงานอันสุดร้อนแรงพ่ายไปเพียง 2 เกมก่อนถึงปีใหม่ ที่สำคัญเจ้าตัวยังสร้างสถิติส่วนตัว จากการยิงประตูได้ 11 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ลบสถิติเก่าของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ 10 เกมเมื่อปี 2003 ได้สำเร็จ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2015 รอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเรียกตัวดาวยิงรายนี้ติดธง สิงโตคำราม เป็นครั้งแรกและได้ประเดิมสนามในเกมกับ ทีมชาติสาธารณะรัฐไอร์แลนด์ เมื่อ 7 มิถุนายน

วาร์ดี้ยังคงสร้างความประทับใจในพรีเมียร์ลีก โดยทำไป 24 ประตูในฤดูกาล 2015-2016 ช่วยให้เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ฟอร์มการเล่นของเขาในฤดูกาลนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก และเขายังได้รับการเสนอชื่อให้อยู่ในทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA

สำหรับ ฟุตบอล ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2016-17 เจมี่ วาร์ดี้ ยังคงเป็นกำลังสำคัญของทีม ที่พา จิ้งจอกสยาม เข้าไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย เบ็ดเสร็จ ในศึก ยุโรปฤดูกาลนั้น วาร์ดี้ ยิงไป 2 ประตู จากการลงสนามไป 9 นัด

ฤดูกาล 2018-19 เจมี่ วาร์ดี้ ได้ทำลายสถิติการยิงประตูให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ ตลอดกาลของ แกรี่ ลินิเกอร์ ที่ทำไว้ 103 ประตู โดยล่าสุดเจมี่ วาร์ดี้ ทำประตูให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ รวมทุกรายการไปแล้ว 107 ประตู (สถิติถึง สิ้นสุดฤดูกาล 2018-19)

ในฤดูกาล 2018/19 วาร์ดี้ยังคงเก็บสถิติทำประตูได้อย่างต่อเนื่องไปอีก 18 ประตู หลังจากนั้น ในช่วงปี 2019/20 วาร์ดี้ ก็ยังคงโฟกัสไปที่สร้างผลงานให้ทีมอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ทีมอยู่ในอันดับต้นๆของตารางพรีเมียร์ลีก

ในฤดูกาล 2019-2020 วาร์ดี้ยังคงสร้างความประทับใจให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ โดยยิงไป 23 ประตูในทุกรายการ เขากลายเป็นผู้เล่นอายุมากที่สุดที่คว้ารางวัล Premier League Golden Boot ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับผู้ทำประตูสูงสุดของลีกเมื่ออายุ 33 ปี กรกฎาคมปี 2020 หลังจากที่กีฬาฟุตบอล ต้องถูกระงับการแข่งขันเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 เมื่อกลับมาอีกครั้ง วาร์ดี้ไม่รั้งรอที่จะทำประตูเพิ่มได้อีกสองลูก ในนัดที่เจอกับ คริสตัล พาเลซ ที่ สนาม คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เป็นประตูลำดับที่ 100 และ 101 ของเขาในพรีเมียร์ลีก และในการเล่นให้กับเลสเตอร์ ซิตี้ อีกด้วย

เขาได้รับ รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล และ ผู้เล่นยอดเยี่ยมที่ได้รับการโหวตจากเพื่อนร่วมทีมของสโมสร ในปีนั้น และรางวัล โกลเด้นบู้ท ในปลายฤดูกาล 2019/20 จากการทำประตูไปได้ทั้งหมด 23 ครั้ง

ต่อด้วยฤดูกาล 2020/21 เขาทำประตูไปได้อีก 17 ครั้งในทุกการแข่งขัน รวมถึงประตูที่เขาทำได้ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ จนทำให้เลสเตอร์ คว้าชัยมาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แม้จะไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัด แต่คาดว่า วาร์ดี้ น่าจะเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ลงเล่นในช่วงเริ่มต้น ของทุกการแข่งขันใน เอฟเอ คัพ ตั้งแต่ในรอบคัดเลือกไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศกันเลยทีเดียว เขายังได้ลงเล่นในเกมที่เลสเตอร์ คว้าโล่รางวัล เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในเดือน สิงหาคม 2021 มาครองได้อีกด้วย

ส่วนในฤดูกาล 2021/22 วาร์ดี้ ทำประตูรวมในทุกการแข่งขันให้กับสโมสรได้ถึง 150 ประตูในเกมบุกเยือน ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน เมื่อวันที่ 19 กันยายน นอกจากนี้ เขายังใกล้จะไต่ขึ้นสู่ท็อป 10 ของสถิติจำนวนการลงเล่นมากที่สุดตลอดกาลของเลสเตอร์ ซิตี้

ประวัตินักฟุตบอล : มิคไฮลอ มูดริก

วาร์ดี้กับการลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ

เจมี่ วาร์ดี้ ทำเอานักวิจารณ์และแฟนบอลต้องตกตะลึง ด้วยการสร้างผลงานอันสุดร้อนแรงพ่ายไปเพียง 2 เกมก่อนถึงปีใหม่ ที่สำคัญเจ้าตัวยังสร้างสถิติส่วนตัว จากการยิงประตูได้ 11 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ลบสถิติเก่าของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ 10 เกมเมื่อปี 2003 ได้สำเร็จ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม 2015 รอย ฮอดจ์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเรียกตัวดาวยิงรายนี้ติดธง สิงโตคำราม เป็นครั้งแรกและได้ประเดิมสนามในเกมกับ ทีมชาติสาธารณะรัฐไอร์แลนด์ เมื่อ 7 มิถุนายน

สำหรับประตูแรกในสีเสื้อทีมชาติ วาร์ดี้ เปิดซิงครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่องกับ ทีมชาติเยอรมัน แถมยังเป็นการยิงด้วยลูกส้นสุดสวยอีกด้วย กองหน้ารายเดิมไม่มีท่าทีลดดีกรีความร้อนแรงลงแต่อย่างใด โดยหลังจากที่เจ้าตัวกระหน่ำไปถึง 22 ประตู เขาก็ได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมนักข่าว ต่อมาในเดือนเมษายน โดนแบน 2 เกมจากการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในเกมที่เสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทำให้พลาดการลงสนามในเกมพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ซันเดอร์แลนด์ แต่กลับคืนสู่ทีมในเกมที่พบกับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่ง เลสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็นทีมแชมป์ไปแล้ว ณ เวลานั้น ซึ่ง วาร์ดี้ ก็ไม่ทำให้งานฉลองต้องกร่อย เมื่อจัดการยิง 2 ประตูช่วยให้ จิ้งจอกสยาม เอาชนะ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ในวันรับถ้วยด้วยสกอร์ 3-1

เจมี่ วาร์ดี้ ติดทัพ ทีมสิงโตคำรามไปเล่น ฟุตบอลยูโร 2016 รอบสุดท้าย และ กระหน่ำประตูสำคัญให้ทีมชาติอังกฤษ ในการพบกับ เวลส์ในรอบแรก ก่อนที่ อังกฤษ จะไปตกรอบ ด้วยการแพ้ ไอซ์แลนด์ ทีมรองบ่อนในภายหลัง

เจมี่ วาร์ดี้ ติดทีมชาติอังกฤษไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย แต่ภายหลังที่ ฟุตบอลโลกปิดฉาก วาร์ดี้ เองก็ประกาศอำลาทีมชาติอังกฤษ เลือกที่จะเล่นให้กับ เลสเตอร์ ซิตี้ อย่างเดียวเท่านั้น

ประวัตินักฟุตบอล : เจมี่ วาร์ดี้

สไตล์การเล่นของวาร์ดี้

สไตล์การเล่นของ Vardy โดดเด่นด้วยความเร็ว อัตราการทำประตู และความสามารถในการจบสกอร์ที่เด็ดขาด เขาเป็นที่รู้จักจากความสามารถในการวิ่งไปด้านหลังแนวรับและทำประตูจากมุมที่ยาก เขาถูกนำไปเปรียบเทียบกับอดีตกองหน้าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด Andy Cole

แหล่งที่มาข้อมูล :: en.wikipedia.org

ติดตามประวัตินักฟุตบอลเพิ่มเติม :: ประวัตินักฟุตบอล